top of page

REPERTOIRE

Solo de concour - Henri Rabaud

Henri_Rabaud_in_1918.jpg

It is not difficult to understand why Henri Rabaud's 'Solo de Concours' (Contest Solo) for the clarinet has been popular ever since its composition in 1901. It is so entirely in the idiom of the instrument, and as grateful as any piece of music ever written for the clarinet. It was composed for the graduation and solo competition for the Paris Conservatory and was used again for the competition in the years 1908, 1915, 1925, and 1937.

ในปี 1901 นั้น ผลงานของ Henri Rabaud ที่ชื่อว่า Solo de concour ซึ่งเเปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Contest solo ได้รับความนิยมมากเนื่องจาก ผลงานชิ้นนี้ได้

เเต่งขึ้นมาเพื่อให้สำหรับงานรับปริญญาเเละงานประกวดการเเสดงเดี่ยวของเครื่องคราริเน็ตของโรงเรียนสอนดนตรีในปารีส เเละมันได้ถูกใช่ในการเเข่งขันในปี 

1908, 1915, 1925, เเละ 1937 อีกด้วย

Solo de concour -  Andre Messager

André Messager composed Solo de Concours for Clarinet in 1899, as a Paris Conservatoire Contest piece. He Composed in three sections. The first part,

 the cheerful first part contains triplet figures by the clarinet that can easily be heard over the orchestra. The second part has a strong French melody that can be heard as an exchange between the clarinet and the orchestra. A cadenza followed by trills ends this section and leads to the final part, where the clarinet stands out from the orchestra, with a rich melodic energy.

เพลงนี้ถูกประพันธ์ขึ้นมาในปี 1899 เพื่อเป็นบทเพลงสำหรับเเข่งขันการเเสดงเดี่ยวในโรงเรียนสอนดนตรีที่กรุงปารีส เเละเพลงนี้ได้ถูกประพันธ์ขึ้นเเบ่งได้เป็น 3 ส่วน เริ่มจาก

ส่วนเเรกที่เป็นจังหวะ 3พยางค์ที่ให้ความรู้สึกสดใสเพื่อที่จะให้เสียงของคราริเน็ตนั้นได้ยิน

เด่นชัดออกมาจากออเคสตร้า ตามด้วยส่วนที่ 2 เป็นส่วนที่มีทำนองของฝรั่งเศษที่ผู้ชมนั้นสามารถได้ยินโดยทำนองเหล่านี้จะสลับกันเล่นระหว่างคราริเน็ตเเละออเคสตร้า ต่อมาจะเป็นส่วนสุดท้ายที่ประกอบไปด้วย คาเดนซ่า ซึ่งเป็นการเล่นเดี่ยวที่คล้ายการด้นสดหรือพูดได้อีกอย่างคือลูกหมดในดนตรีไทยของเรา เเละยังมีการทริวเพื่อนำไมสู่ท่อนจบที่เป็นส่วนที่ต้องการให้คราริเน็ตเด่นออกมาจากออเคสตร้าอย่างชัดเจนด้วยทำนองที่เข็มข้น

Carnival of venice - alamiro Giampieri

Messager_André_compositeur_1921.jpg
alamiro Giampieri.webp

The Carnival of Venice was first published by Ricordi in 1848 under the title Il Carnevale di Venezia, Capriccio variation.  It uses the same Italian folk song popularized by Paganini's variations from the early 19th century.  Four variations and a snappy finale cast the clarinetist as a virtuosic acrobat, and the comfortable writing allows for blazing speeds.  There are only a few large leaps (a couple of lines in the second variation), and a handful of passages which involve the altissimo register (the highest note is a written A6); brilliant arpeggios and scales make for manageable technical demands.  The entire work is written in B♭ major, except for the third variation in the parallel B♭ minor.  After the introduction in 2/4 and 4/4 time, the rest is in 6/8.

บทเพลงนี้นั้นถูกพิมพ์ออกมาในปี 1848 ภายใต้ชื่อว่า Carnevale di Venezia

บทเพลงนี้นั้นถูกประพันธ์โดยใช้ทำนองที่คล้ายเพลงพื้นเมืองของอิตาเลี่ยนโดยเพลงนี้นั้นเเพร่หลายโดยเพลงเเบบ Variation ในช่วงต้นของศตวรรติที่ 19

โดยจะเเบ่งเป็น 4ส่วน ซึ่งนักคราริเน็ตนั้นเป็นคล้ายกับนักกายกรรมอย่างเชี่ยวชาญ

เเละเขียนเพื่อให้สะดวกต่อการใล่โน้ตอย่างร้อนเเรงเเต่ก็จะมีการกระโดดที่กว้างในส่วนที่ 2 เเละยังมีการไล่อเพจจิโอ้เเละสเกลที่จะต้องการเทคนิคอย่างสูง

Lao dung deuen - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒน์พงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม

When  Pra jaow bromawong ther krom muenpichai went to Chiengmai.

He was fell in love by Jao racha samphantawong's eldest daughter. 

He can't wedding with her cause of she is Citizen but Pra jaow bromawong ther krom muenpichai he is a royal family. This situation makes he depressed. He decided to composed this song and he listened

this song when he think of her for his entire life.

เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมได้เสด็จไปนครเชียงใหม่ และเกิดชอบพอกับเจ้าหญิงชมชื่น พระธิดาองค์โตของเจ้าราชสัมพันธวงศ์และเจ้าหญิงคำย่น ณ ลำพูน โปรดให้ข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพเป็นเถ้าแก่เจรจาสู่ขอ แต่ได้รับการทัดทาน ไม่มีโอกาสที่จะได้สมรสกัน ทำให้พระองค์โศกเศร้ามาก และได้ทรงพระนิพนธ์เพลงนี้ขึ้น เมื่อใดที่ทรงระลึกถึงเจ้าหญิงชมชื่น ก็จะทรงดนตรีเพลงลาวดำเนินเกวียน (ลาวดวงเดือน) เพลงนี้ หรือให้มหาดเล็กเล่นให้ฟัง มาตลอดพระชนมชีพ

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒน์พงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม.jfif

นกขมิ้นสามชั้น - ครูวิชิต โห้ไทย

อจ.วิชิต โห้ไทย.jfif

เพลงนกชมิ้นสามชั้น ครูเพ็งซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูร) ได้นำเพลงนกขมิ้นตัวผู้ในเพลงเรื่องแม่หม้ายคร่ำครวญซึ่งเป็นอัตราจังหวะสองชั้นมาแต่งขึ้นเป็นอัตราจังหวะสามชั้นพร้อมกับแต่งทางร้อง และสอดแทรกการร้องดอก และปี่เป่าว่าดอกตามเสียงร้องในท่อน 3 ขึ้นจากหนังสือประชุมบทมโหรี มีบทมโหรีและพระราชนิพนธ์ ฉบับรวบรวมพิมพ์ครั้งแรก โดยสุจิตต์ วงษ์ทศ ได้กล่าวถึงเพลงนกขมิ้นในตับมโหรี เพลงต้นเพลงฉิ่งสองชั้นมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจัดเป็นเพลงตับมใหรีทำนองเพลงไพเราะประกอบด้วยเพลงต้นเพลงฉิ่ง สามเส้า (จระเข้ห่างยาว) ตวงพระธาตุ นกขมิ้น และธรณีกรรแสงเพลงตับชุดนี้คุณหญิงไพฑูรย์ กิตติวรรณได้ร่วมกันกับนางเจริญ พาทยโกศลบันทึกแผ่นเสียงเมื่อ พ.ศ. 2471 โดยใช้วงมโหร่วงบางขุนพรหม พลงตับต้นเพลงฉิ่งสามชั้นเรียกอีกชื่อว่าตับกากีมี 4 เพลงด้วยกันคือ ต้นเพลงถิ่ง จระเข้หางยาว ดวงพระธาตุเพลงนกขมิ้นเหลืองอ่อน แต่งโดยพระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางค์กูร โดยใช้คำร้องจากเรื่องกากีคำกลอนขอเจ้าพระยาพระคลัง (หน) นักดนตรีไทยสำนักพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์ ) มีบทมโหรีเรื่องรถเสนในสมัยกรุงศรีอยุธยา ดังนี้บทมโหรีเรื่องรถเสนนี้ เป็นบทแต่งครั้งกรุงเก่าถ่ายมาจากกาพย์ห่อโคลงเรื่องรถเสนอันเป็นบทขับไม้เป็นแน่ แต่ก่อนเคยใช้เป็นตำราหัดร้องต้นเพลฉิ่งใช้บทเพียง 2 คำคือ ฝ่ายนาฎเมรี่ศรีสวัสดิ์ บรรทมเหนือแทนรัตน์ปัจถรณ์ ดาวเดือนเลื่อนลับ

ยุคันธรจะใกล้แสงทินกรอโณทัยฯ โดยใช้บทร้องกันเพียงเท่านี้ บทต่อนั้นจึงเลยสูญไปเสียคราวหนึ่ง หนังสือก็ไม่มีหาผู้จำก็ไม่มีใครจำได้ หอสมุดสืบสวนกันอยู่ชำนานจึงได้ความว่านางชิน อาของเจ้าจอมมารดากรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา อายุได้ 80 เศษจำาบทมโหรีเรื่องพระรถเสนได้ตลอดได้ให้ไปขอจดมาพิมพ์ในสมุดเล่มนี้แต่งเพลงที่ร้องนอกจากเพลงต้นเพลงนิ่ง แล้วจะร้องเพลงใดอีกบ้างนางชิน หาทราบไม่ ได้ถามครูมโหรีก็ไม่มีผู้ใดเคยเห็นบทเรื่องพระรถเสนนี้ นอกจาก2 คำที่เป็นตำราต้นเพลงฉิ่งอธิบายกันว่าเพลงตับต้นเพลงนิ่งนั้นมี 4 เพลงด้วยกันคือ 1) ต้นเพลงนิ่ง 2) จระเข้หางยาว 3) ตวงพระธาตุ 4) เพลงนกขมิ้นเหลืองอ่อน ได้ความเพียงเท่านี้ จึงไม่สามารถจะลงเพลงร้องได้เหมือนกับเรื่องอื่นที่พิมพ์ต่อไปข้างหน้า จาก " อธิบายตำนานมโหรี " ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ นอกจากบทร้องนกขมิ้นสามชั้นของครูเพ็ง บทร้องเพลงนกขมิ้นเถาของครูมนตรีแล้ว ยังมีปรากฏบทร้องในบทมโหรีเรื่องรถเสนดังนี้

บทร้องนกขมิ้น
อกเอ๋ยจะอยู่ใยให้เป็นคน
สำหรับแต่จะอับประมาณนาน
แม้ระบือฤาข่าวถึงต้าวใด
ว่าหญิงชั่วผัวร้างไว้แรมเมือง
ประชาชนครหาจะว่าขาน
เหมือนหญิงพาลรานผัวไปจากเมือง
กิตติศัพท์ถึงไหนจะฟุ้งเรื่อง
เรื่องจะเคืองวิญญาณ์เป็นน่าอาย

© 2023 by Rei Hiromi. Proudly created with Wix.com

bottom of page